หุ้น ?ผู้บริโภค? ที่ผมกำลังพูดถึงนั้น ไม่ใช่หุ้นตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจัดโด

เริ่มโดย admin, สิงหาคม 22, 2014, 08:06:51 AM

« หน้าที่แล้ว - ต่อไป »

admin

ช่วงประมาณสิบปีที่ผ่านมานั้น  หุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปมากในด้านของ  ?คุณภาพ?  ของกิจการ  ก่อนหน้านั้นดูเหมือนว่าบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ของไทยส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่ผลิตและขายสินค้าที่เป็นโภคภัณฑ์เป็นหลัก   บริษัทที่ขายสินค้ามี ?ยี่ห้อ?  หรือบริษัทที่ขายสินค้าที่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค  ที่มีกำไรต่อยอดขายหรือมีมาร์จินสูง  ซึ่งถือว่าเป็นกิจการที่มี  ?คุณภาพสูง?  นั้น  มักจะเป็นบริษัทขนาดเล็ก  สัดส่วน Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของบริษัทที่มี  ?คุณภาพดี?  เหล่านั้นมีน้อยมาก   แต่เดี๋ยวนี้  ?หุ้นผู้บริโภค? มีมูลค่าตลาดของหุ้นใหญ่ขึ้นมาก  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทเหล่านั้นมีการขยายตัวของยอดขายและกำไรสูงกว่าหุ้นโภคภัณฑ์  แต่ที่อาจจะสำคัญยิ่งกว่าก็คือ  การที่ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้น   ?แพง? ขึ้นมาก  นั่นก็คือ  ค่า PE  ของหุ้นผู้บริโภคสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับหุ้นโภคภัณฑ์ที่ยังมีค่า PE ในระดับ 10 เท่าบวก-ลบ  ในขณะที่หุ้นผู้บริโภคจำนวนมากมีค่า PE ในระดับอาจจะ 20 เท่าบวก-ลบ   และมีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

          หุ้น ?ผู้บริโภค? ที่ผมกำลังพูดถึงนั้น  ไม่ใช่หุ้นตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจัดโดยตลาดหลักทรัพย์   แต่เป็นหุ้นของบริษัทที่ขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคที่เป็นบุคคลธรรมดาที่ซื้อสินค้าหรือบริการด้วยตนเอง  บริษัทนั้นเป็นคนทำการตลาดเพื่อเชิญชวนให้คนมาซื้อสินค้า  บริษัทเป็นคนตั้งราคาขายสินค้าเอง  ยอดขายและกำไรของบริษัทขึ้นอยู่กับนโยบายและกลยุทธ์ต่าง ๆ  ที่บริษัทใช้แข่งขันกับคู่แข่งหรือต่อรองกับหน่วยงานควบคุมของรัฐในกรณีที่เป็นบริษัทที่อิงอยู่กับสัมปทานหรือกฎระเบียบต่าง ๆ    ดังนั้น  หุ้นผู้บริโภคจึงมีกระจายกันไปในหลาย ๆ  กลุ่มอุตสาหกรรม  ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไร  ถ้าเขาขายให้คนซื้อที่มีเป็นพัน  หมื่น  แสน  หรือเป็นล้าน ๆ คน  สินค้าของเขามียี่ห้อที่คนรับรู้  และเขาเป็นคนทำการตลาดและกำหนดราคาเองได้  แบบนี้ก็เข้าข่ายที่เขาจะเป็น  ?หุ้นผู้บริโภค?

           หุ้นผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่ที่เริ่มปรากฏมากขึ้นในระยะหลังประมาณ 10 ปีมานี้   มักจะเป็นบริษัทที่เป็น  ?ผู้ชนะ?  ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมของตนเอง  พวกเขามักเป็นคนที่ขายสินค้าโดยตรงต่อผู้บริโภค  นั่นคือ  ไม่ได้ขายผ่านผู้อื่นมากนัก  ความหมายก็คือ  พวกเขามักมี ?หน้าร้าน?  ที่ได้สัมผัสกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด  ที่สำคัญมากอีกข้อหนึ่งก็คือ  สินค้าหรือบริการของพวกเขานั้น  มักเป็นสินค้า ?สมัยใหม่?  หรือเป็นสินค้าที่คนรุ่นใหม่ใช้กันมากขึ้น  พูดง่าย ๆ  เป็นสินค้าที่อยู่ใน ?เมกาเทรนด์?    ลองมาดูกันว่ามีบริษัทไหนบ้าง  ไล่กันไปทีละกลุ่มอุตสาหกรรม

           กลุ่มแรกคือหุ้นในกลุ่มอาหารก็จะพบว่า  หุ้นผู้บริโภคขนาดใหญ่ตาม Market Cap. ก็คือ  หุ้น  CPF  ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อนคิดเป็นมูลค่าตลาด 2 แสนล้านบาท  อย่างไรก็ตาม  สินค้าส่วนใหญ่ของ CPF นั้น  จริง ๆ แล้วน่าจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากนั้น  น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่บริษัทถือหุ้นจำนวนมากใน CPALL ซึ่งเป็นหุ้นผู้บริโภคที่เติบโตขึ้นมาก  หุ้นตัวที่สองคือหุ้น M เครือข่ายร้านภัตตาคารซึ่งเพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดที่มีมูลค่าตลาดกว่า 4 หมื่นล้านบาทกลายเป็นหุ้นใหญ่อันดับ 4 ในกลุ่ม  หุ้นตัวที่สามคือหุ้น MINT ซึ่งทำโรงแรมและร้านอาหาร ที่มีมูลค่าตลาดเกือบหนึ่งแสนล้านบาท เช่นเดียวกับ CENTEL ที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 5 หมื่นล้านบาท  และนี่คือหุ้นที่ทำให้มูลค่าหุ้นในกลุ่มอาหารโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

           หุ้นกลุ่มที่สองก็คือ  หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่อาจจะถือว่าอยู่ในหุ้นกลุ่มผู้บริโภคเช่นกันเนื่องจากมีการรับเงินฝากและให้สินเชื่อแก่บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  อย่างไรก็ตาม  การหาผู้ชนะในกลุ่มแบงค์เป็นเรื่องยาก  และธุรกิจนี้ยังมีปัจจัยหลายอย่างในการที่จะประสบความสำเร็จเช่นเรื่องของภาวะหนี้เสียและอื่น ๆ  ทำให้มูลค่าตลาดของแบงค์เองนั้นโตขึ้นไม่ได้มากเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม  พูดง่าย ๆ  เดิมเมื่อ 10 ปีก่อนแบงค์เองก็ใหญ่มากอยู่แล้ว  สำหรับผมแล้ว  กลุ่มแบงค์ยังไม่อาจจะพูดได้เต็มที่ว่าเป็นหุ้นผู้บริโภค

           หุ้นสถาบันการเงินที่เป็นหุ้นผู้บริโภคที่น่าสนใจมากเนื่องจากเพิ่งจะเติบโตขึ้นมาไม่นานก็คือ หุ้นในกลุ่มประกันชีวิตที่มีหุ้น  BLA และ SCBLIF ที่มีมูลค่าตลาด ประมาณ 7 หมื่นล้านบาททั้งคู่  จากที่ในอดีตนั้น  หุ้นในกลุ่มนี้แทบไม่มีใครสนใจและ Market Cap. น้อยมาก  ข้อสังเกตเพิ่มเติมก็คือ ทั้งสองบริษัทนั้น  มีลูกค้าที่อิงอยู่กับธนาคารขนาดใหญ่ซึ่งน่าจะเป็นส่วนสำคัญในการแข่งขันและทำให้ประสบความสำเร็จ  เป็น  ?ผู้ชนะ?

           กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ผมคิดว่าเป็นหุ้นผู้บริโภคที่มีการเติบโตขึ้นมากในช่วง 10 ปีนี้มีหลาย บริษัทซึ่งน่าจะรวมถึงบริษัทที่พัฒนาห้างอย่าง CPN ซึ่งเติบโตขึ้นมากลายเป็นบริษัทขนาด  2  แสนล้านบาท  และบริษัทสร้างบ้านขายที่เติบโตขึ้นมากซึ่งรวมถึง LH ที่มีขนาด 1 แสนล้านบาท PS ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และบริษัทที่มีขนาดประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาทซึ่งรวมถึงหุ้น BLAND  LPN MBK QH SIRI SPALI

           หุ้นกลุ่มพาณิชย์น่าจะถือเป็นหุ้นกลุ่มผู้บริโภคที่ตรงมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง และน่าจะเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าตลาดเพิ่มมากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ  ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา  ในช่วงก่อนนั้น  กลุ่มพาณิชย์แทบจะไม่มีหุ้นที่มี Market Cap. ขนาดใหญ่เลย  แต่ปัจจุบันนั้น  หุ้นหลาย ๆ  ตัวกลายเป็นหุ้นขนาดใหญ่  บางตัวติดอันดับหนึ่งในสิบของหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในตลาด  ประกอบไปด้วย  หุ้น CPALL ซึ่งมีมูลค่าถึงประมาณ 3 แสน 5หมื่นล้านบาท  หุ้น BIGC และหุ้น MAKRO ที่ต่างก็มีมูลค่าตลาดประมาณ 1 แสน 5 หมื่นล้านบาท  หุ้น HMPRO ที่มีมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านบาท  และหุ้น ROBINS ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 6 หมื่นล้านบาท

          ในกลุ่มของหุ้นบันเทิงซึ่งเป็นหุ้นผู้บริโภคที่เป็นผู้ชนะและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากก็คือ หุ้น BEC ซึ่งก็คือทีวีช่อง 3 มีมูลค่าตลาดสูงขึ้นมากถึงประมาณ แสนล้านบาท  นอกจากนั้นก็ยังมีหุ้น VGI ที่ขายโฆษณาที่เพิ่งเข้าตลาดไม่นานก็มีมูลค่าสูงขึ้นถึงเกือบ 4 หมื่นล้านบาท

          หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่ในอดีตไม่ใคร่จะมีค่ามากนักในตลาดหุ้น  แต่ด้วยการเติบโตของหุ้นผู้บริโภคก็ทำให้หุ้นของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ BGH เติบโตขึ้นมหาศาลมีมูลค่าตลาดถึง 2 แสนล้านบาท  เช่นเดียวกัน โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์  BH  ก็เติบโตมีมูลค่าประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาท

          หุ้นกลุ่มขนส่งซึ่งในอดีตมีเพียง THAI เท่านั้นที่มีมูลค่าตลาดสูง  ในปัจจุบันกลับกลายเป็นหุ้น AOT และหุ้นของ BTS ที่เป็นหุ้นผู้บริโภคที่มีมูลค่าสูงมากคือประมาณ 2 แสน 6 หมื่นล้านบาทและ 1 แสนล้านบาทตามลำดับ

          หุ้นกลุ่มสื่อสารที่เป็นหุ้นผู้บริโภคและมีขนาดเพิ่มขึ้นโดยเปรียบเทียบนั้นรวมถึงหุ้นที่มีขนาดใหญ่มากอยู่แล้วอย่าง ADVANC ที่มีขนาดประมาณ 6 แสน 7 หมื่นล้านบาท หุ้น DTAC และ INTUCH หุ้นละ  2 แสน 5 หมื่นล้านบาท TRUE แสนสองหมื่นล้านบาท และ JAS 5.6 หมื่นล้านบาท

          หุ้นผู้บริโภคที่รวมเฉพาะในรายการที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น  มี Market Cap. ถึงประมาณ  4 ล้านล้านบาทซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของตลาดหุ้นทั้งหมด  และนั่นก็คือตัวเลขที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า  ตลาดหุ้นไทยกำลังเคลื่อนไปสู่การเป็นตลาดหุ้นที่มีหุ้นที่มีคุณภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ   และดังนั้น  ค่า PE ของตลาดหุ้นไทยก็ควรต้องสูงขึ้นกว่าอดีตที่ผ่านมาที่อยู่ระดับ PE 10 เท่า
บจก.สยามเอวีเอส
63 Moo 2 แพรกษาใหม่ เมือง สมุทรปราการ
นำเข้า-จำหน่าย เครื่องจักร cnc มือสองญี่ปุ่น
ติดต่อ คุณ ธนเดช  084-387-2401
EMAIL kiattub@gmail.com
คลิกลิ้งแอดไลน์ได้เลย Line id : boysiamavs
http://line.me/ti/p/~boysiamavs