1. Present Simple Tense ใช้เพื่อบอกความจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน
โครงสร้างไวยากรณ์: S + V1
ตัวอย่างประโยค:
I study at Harvard University. ฉันเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
The Sun rises in the east. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
He calls me honey. เขาเรียกฉันว่าที่รัก
2. Past Simple Tense ใช้เพื่อบอกความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต และตอนนี้ทุกอย่างก็ได้จบลงแล้ว
โครงสร้างไวยากรณ์: S + V2
ตัวอย่างประโยค:
I lived in Germany. ฉันเคยอยู่ที่ประเทศเยอรมนี
Daddy called me last night. พ่อโทรมาหาฉันเมื่อคืน
3. Future Simple Tense ใช้เพื่อบอกความตั้งใจ หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
โครงสร้างไวยากรณ์: S + will, shall + V1
ตัวอย่างประโยค:
I will go to Japan next month. ฉันจะไปญี่ปุ่นเดือนหน้า
I will send you my photo tonight. ฉันจะส่งรูปฉันให้ดูคืนนี้
4. Present Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ ณ ขณะที่พูด และใช้บอกการกระทำที่ทำอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลานี้ (ปีนี้, เดือนนี้) หรือบอกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ก็ได้
โครงสร้างไวยากรณ์: S + is, am, are + V ing
ตัวอย่างประโยค:
I am going to school. ฉันกำลังจะไปโรงเรียน
He is walking on the street. เขากำลังเดินอยู่บนถนน
Cherry is preparing for final exam. เชอร์รี่กำลังเตรียมตัวสอบปลายภาค
5. Past Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต หรือบอกเหตุการณ์หนึ่งในอดีตที่กำลังดำเนินอยู่ ก่อนที่อีกเหตุการณ์จะเกิดขึ้น
โครงสร้างไวยากรณ์: S + was, were + V ing
ตัวอย่างประโยค:
I was working all day yesterday. ฉันยุ่งทั้งวันเลยเมื่อวานนี้
When I opened the door, my father was watching TV. ตอนผมเปิดประตูเข้าบ้าน พ่อผมกำลังดูทีวีอยู่
6. Future Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต และใช้กับเหตุการณ์หนึ่งในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ก่อนที่อีกหนึ่งเหตุการณ์จะเกิดตามมา
โครงสร้างไวยากรณ์: S + will be + V ing
ตัวอย่างประโยค:
I will be studying in tomorrow morning. พรุ่งนี้ตอนเช้า ผมคงจะกำลังเรียนอยู่
I will be working when you finish your work. ผมคงจะกำลังทำงานอยู่ เมื่อคุณเลิกงานแล้ว
7. Present Perfect Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และจะใช้ since, for ร่วมด้วยเสมอ หรือบอกเล่าถึงสิ่งที่เพิ่งจะจบลงหมาด ๆ
โครงสร้างไวยากรณ์: S + have,has +V3
ตัวอย่างประโยค:
I have worked in Japan since 2010. ฉันทำงานที่ญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2010
Nancy has stayed with me for 10 months. แนนซี่อยู่กับฉันมา 10 เดือนแล้ว
I have already finished my homework. ผมเพิ่งทำการบ้านเสร็จ
8. Past Perfect Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แน่ชัด หรือใช้เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต โดยจะใช้ Past Perfect Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดก่อนเสมอ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังใช้ Past Simple Tense
โครงสร้างไวยากรณ์: S + had +V3
ตัวอย่างประโยค:
Two students had gone before the teacher came to the room. นักเรียนสองคนออกไปจากห้องแล้ว ก่อนที่ครูจะเข้ามา
Before I met her, I had met Sandy. ก่อนที่ฉันจะเจอเธอ ฉันเจอแซนดี้
9. Future Perfect Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่คาดว่าจะสิ้นสุดลงในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต หรือใช้กับเหตุการณ์หนึ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ก่อนที่อีกเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้นตามมา
โครงสร้างไวยากรณ์: S + will + have + V3
ตัวอย่างประโยค:
Apple will have launched its new iPhone by 2012. แอปเปิลจะเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ภายในปี 2012
My father will have gone when I get up. เมื่อฉันตื่น พ่อฉันก็คงไปแล้ว
10. Present Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย เรียกว่ามีหลักการใช้เหมือนกับ Present Perfect Tense เพียงแต่เน้นถึงความต่อเนื่องและเน้นว่าจะทำต่อไปเท่านั้นเอง
โครงสร้างไวยากรณ์: S + have/has been + V ing
ตัวอย่างประโยค:
I have been working in Japan since 2010. ฉันทำงานที่ญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2010
Nick have been living in London for 2 months. นิคอาศัยอยู่ในลอนดอนมาได้ 2 เดือนแล้ว
11. Past Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต และได้สิ้นสุดลงแล้ว เรียกว่ามีหลักการใช้เหมือนกับ Past Perfect Tense เพียงแต่เน้นถึงความต่อเนื่องชัดเจนขึ้น
โครงสร้างไวยากรณ์: S + had been + V ing
ตัวอย่างประโยค:
I had been painting the wall before the dog scratched it. ฉันทาสีกำแพงก่อนที่เจ้าหมาจะมาขีดข่วนมัน
My father had been smoking for 5 years before I was born. พ่อฉันสูบบุหรี่จัดเป็นเวลา 5 ปี ก่อนที่ฉันจะเกิด
12. Future Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต และก็จะดำเนินต่อไปอีกหลังจากนั้น หรือใช้เหมือนกับ Future Perfect Tense แต่เน้นความต่อเนื่องของการกระทำหนึ่งในอนาคต
โครงสร้างไวยากรณ์: S + will/shall + have been + V ing
ตัวอย่างประโยค:
By the next year, I will have been working for 10 years. ผมจะทำงานครบ 10 ปีในปีหน้านี้
In ten minutes I will have been waiting 1 hour for the bus. อีก 10 นาที ผมจะรอรถเมล์ครบ 1 ชั่วโมงพอดี
Irregular Verb กริยาอปกติ
ช่อง 1 ช่อง 2 ช่อง 3 แปล
1
be = is, am, are was, were been เป็น อยู่ คือ
2
become (บิคั๊ม) became (บิเค๊ม) become กลายเป็น
3
begin (บิกิ๊น) began (บิแก๊น) begun (บิกั๊น) เริ่มต้น
4
bet เบ็ท bet เบ็ท bet พนัน
5
bite ไบท bit บิท bitten (or bit) บิทเทิน กัด
6
bleed บลีด bled เบล็ด bled เลือดออก
7
blow บโล blew บลู blown บโลน พัด เป่า ตี
8
break เบรก broke บโรค broken บโรคเคิน แตก
9
bring บริง brought บรอท brought นำมา เอามา
10
build บิลด built บิลท built สร้าง
11
burst เบิสท burst burst ระเบิด
12
buy บาย bought บอท bought ซื้อ
13
catch แค็ทช caught คอท caught จับ , ขึ้นรถ
14
choose ชูส chose โชส chosen โชเซิน เลือก
15
come คัม came เคม come มา
16
cost คอสท cost cost มีราคา
17
cut cut cut ตัด
18
dig ดิก dug ดัก dug ขุด
19
dive ไดฝ dived (or doveโดฝ) dived ไดฝด ดำนํ้า
20
do ดู did ดิด done ดัน ทำ
21
draw ดรอ drew ดรู drawn ดรอน ลาก วาด เขียน
22
drink ดริงค drank ดแรงค drunk ดรังค ดื่ม
23
drive ไดรฝ drove ดโรฝ driven ดริฝเฝิน ขับ(รถ)
24
eat อีท ate เอท eaten อีทเทิน กิน
25
fall ฟอล fell เฟ็ล fallen ฟอลเลิน ตก หล่น
26
feel ฟีล felt เฟ็ลท felt รู้สึก
27
fight ไฟท fought ฟอท fought ต่อสู้
28
find ไฟนด found เฟานดึ found พบ
29
fly ฟลาย flew ฟลู flown ฟโลน บิน
30
forbid ฟอบิด forbade ฟอเบด forbidden ฟอบิดเดิน ห้าม
31
forget ฟอเก็ท forgot ฟอก็อท forgotten ฟอก็อทเทิน ลืม
32
freeze ฟรีส froze โฟรส frozen โฟรสเซิน แข็งตัว หนาว
33
get เก็ท got ก็อท got เอา ได้รับ
34
give กิฝ gave เกฝ given กิฝเฝิน ให้
35
go โก went เว็นท gone กอน ไป
36
grind กรายด ground กราวด ground บด ลับ
37
grow กโร grew กรู grown กโรน เติบโต, ปลูก
38
hang (pictures) แฮง hung ฮัง hung แขวน ห้อย
39
hang (people) แฮง hanged แฮงด hanged แขวนคอ
40
have แฮฝ had แฮด had มี
41
hear เฮีย heard เฮิด heard ได้ยิน
42
hide ฮายด hid ฮิท hidden ฮิดเดิน ซ่อน
43
hurt เฮิท hurt hurt ทำร้าย
44
know โน knew นู known โนน รู้
45
lay เล laid เลด laid วาง ออกไข่
46
lead ลีด led เหล็ด led นำ
47
learn เลิน learnt เลินท learnt เรียนรู้
48
leave ลีฝ left เล็ฟท left ละทิ้ง, จากไป
49
lend เล็นด lent เล็นท lent ให้ยืม
50
lie ลาย lay เล lain เลน นอน
51
light ไลท lit ลิท lit จุดไฟ
52
lose ลูส lost ลอสท lost แพ้ ทำหาย
53
make เมค made เมด made ทำ
54
meet มีท met เม็ท met พบ
55
mistake มิสเตค mistook มิสตุค mistaken มิสเตคเคิน ทำผิด
56
pay เพ paid เพด paid จ่าย
57
put พุท put put วาง
58
quit ควิท quitted ควิทเท็ด (or quit) quit ควิท เลิก
59
read หรีด read เหร็ด read เหร็ด อ่าน
60
ride รายด rode โรด ridden ริดเดิน ขี่
61
ring ริง rang แรง rung รัง สั่น (กระดิ่ง)
62
rise ไรซ rose โรส risen ริสเซิน ขึ้น ลุกขึ้น
63
run รัน ran แรน run วิ่ง
64
say เซ said เซด said พูด
65
see ซี saw ซอ seen ซีน เห็น
66
seek ซีค sought ซอท sought ค้นหา
67
sell เซ็ล sold โซลด sold ขาย
68
set เซ็ท set set จัด
69
shake เชค shook ชุค shaken เขย่า สั่น
70
shine ชายน shone โชน shone ส่องแสง
71
shrink ชริงค shrank ชแรงค shrunk ชรัง หดลง สั้นลง
72
sing ซิง sang แซง sung ซัง ร้องเพลง
73
sink ซิงค sank แซงค sunk ซังค จม ถอยลง
74
sit ซิท sat แซ็ท sat แซ็ท นั้ง
75
slide สไลด slid สลิด slid สื่นไถล, เลื่อนไป
76
sleep สลีพ slept สเล็พท slept นอนหลับ
77
speak สปีค spoke สโปค spoken สโปเคิน พูด
78
spin สปิน spun สปัน spun ม้วน กรอ ปั่นฝ้าย
79
split สปลิท split split แตก, แยก
80
spring สปริง sprang สแปรง sprung สปรัง โดดอย่างเร็ว, เด้ง
81
sting สติง stung สตัง stung สตัง ต่อย, แทง
82
stink สติงค stank สแตงค stunk สตังค ส่งกลิ่นเหม็น
83
strike สไตรค struck สตรัค struck ตี, ต่อย? กระทบ
84
string สตริง strung สตรัง strung ผูกเชือก ขึงสาย
85
swear สแว swore สวอ sworn สวอน สาบาน ปฏิญาณ
86
swell สเว็ล swelled สเว็ลด swollen สวอลเลิน โตขึ้น หนาขึ้น
87
swim สวิม swam สแวม swum ว่ายนํ้า
88
swing สวิง swung สวัง swung แกว่ง, เหวี่ยง
89
take เทค took ทุค taken เทคเคิน เอา พาไป
90
teach ทีช taught ทอท taught สอน
91
tear แท tore ทอ torn ทอน ฉีก ขาด
92
tell เท็ล told โทลด told บอก
93
think ธิง thought ธอท thought คิด
94
throw ธโร threw ธรู thrown ธโรน เหวี่ยง ขว้าง
95
wake เวค woke โวค waken เวคเคิน ตื่น, ปลุก
96
wear แว wore วอ worn วอน สวม, ใส่
97
weave วีฝ wove โวฝ woven โวฝเฝิน ทอผ้า, สาน
98
weep วีพ wept เว็พท wept ร้องไห้
99
win วิน won ว็อน won ชนะ
100
write ไรท wrote โรท written ริทเทิน เขียน
REGULAR VERB กริยาปกติ
ช่อง 1 ช่อง 2 ช่อง 3 แปล
1
answer answered answered ตอบ (คำถาม) รับ (โทรศัพท)
2
arrive arrived arrived มาถึง ไปถึง
3
attend อะเท็นด attended อะเท็นเด็ด attended (เข้าร่วม) ประชุม
4
beg เบก begged เบกด begged ขอ
5
call คอล called คอลด called เรียก โทรหา
6
change เชนจึ changed เชนจดึ changed เปลี่ยน
7
clean คลีน cleaned คลีน cleaned ทำความสะอาด
8
cook คุค cooked คุคท cooked ทำอาหาร
9
cry คราย cried ครายด cried ร้องไห้
10
dance แดนซ danced แดนซท danced เต้นรำ
11
die ดาย died ดายด died ตาย
12
deliver ดิลิฝเวอะ deliverd ดิลิฝเวิด deliverd ส่งถึงที่
13
drop ดร็อพ dropped ดร็อพท dropped (น้ำ) หยด
14
end เอนด ended เอนดิด ended จบ
15
fix ฟิกซ fixed ฟิกซท fixed ซ่อม
16
hate เฮท hated เฮททิด hated เกลียด
17
help เฮ็ลพ helped เฮ็ลพท helped ช่วย
18
kiss คิส kissed คิสท kissed จูบ
19
lift ลิฟท lifted ลิฟเท็ด lifted ยก
20
listen ลิซเซิน listened ลิซเซินด listened ลิซเซินด ฟัง
21
live ลิฝ lived ลิฝด lived อาศัยอยู่
22
look ลุค looked ลุคท looked มอง
23
love เลิฝ loved เลิฝด loved รัก
24
move มูฝ moved มูฝด moved มูฝด ย้าย ขยับ
25
need นีด needed นีดเด็ด needed นีดเด็ด ต้องการ
26
paint เพ๊นท painted เพ๊นทิด painted วาดภาพ ระบายสี
27
plan แพลน planned แพลนด planned วางแผน
28
play เพล played พเลด played เล่น
29
rain เรน rained เรนด raind ฝนตก
30
return returned returned กลับคืน
31
serve เสิฝ served เสิฝ served เสิร์ฟ
32
shop ช็อพ shopped ช็อพท shopped จ่ายตลาด
33
smoke สโมค smoked สโมคท smoked สโมคท สูบบุหรี่
34
sneeze สนีส sneezed สนีสด sneezed จาม
35
snow สโน snowed สโนด snowed หิมะตก
36
stay สเต stayed สเตด stayed พักอาศัย
37
stop สต็อพ stopped สต็อพท stopped หยุด
38
study สตัดดิ studied สตัดดิด studied เรียน
39
talk ทอค talked ทอคท talked สนทนา
40
travel แทรเวิล traveled แทรเวิลด traveled ท่องเที่ยว
41
visit วิสิท visited วิสิทเท็ด visited วิสิทเท็ด เยี่ยม เที่ยว
42
wait เวท waited เวททิด waited รอ
กริยาช่วยมีด้วยกันทั้งหมด 24 ตัวดังนี้
รูปปฎิเสธ คำย่อ
is is not isn't
am am not -
are are not aren't
was was not wasn't
were were not weren't
do do not don't
does does not doesn't
did did not didn't
has has not hasn't
have have not haven't
had had not hadn't
can can not can't
could could not couldn't
may may not mayn't
might might not mightn't
will will not won't
would would not wouldn't
shall shall not shan't
should should not shouldn't
must must not mustn't
need need not needn't
dare dare not daren't
ought ought not oughtn't
used to used not to usedn't to
verb to be ได้แก่คำว่า is, am, are, was, were แปลว่า"เป็น, อยู่, คือ"
be เป็นรูปเดิมเมื่อกระจายรูปจะได้เป็น is,am,are เปลี่ยนเป็นช่องที่สองคือ was were และเปลี่ยนเป็นช่องที่สามคือ been
ใช้กับ Present tense (ปัจจุบันกาล)
is ใช้กับประธานเอกพจน์
am ใช้กับประธานคำว่า I
are ใช้กับประธานพหูจน์
ใช้กับ Past tense (อดีตกาล)
was ใช้กับประธานเอกพจน์
wereใช้กับประธานพหูพจน์
หน้าที่ของ verb to be
1.ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นในประโยค continuous tense และประโยค Passive voice
They are watching tv.
She was writing to her parents.
A dog was killed by bad man.
2.ใช้กับประโยคที่มีคำนาม (noun) หรือคำคุณศัพท์ (adjective) ตามหลัง
We are students.
3.ใช้กับประโยคขอร้องและคำสั่ง(ในรูปของ be) เช่น
Be careful!
Be gentle!
Verb to do ได้แก่คำว่า do, does, did
ใช้กับ Present tense (ปัจจุบันกาล)
does ใช้กับประธานเอกพจน์
do ใช้กับประธานพหูพจน์
ใช้กับ Past tense (อดีตกาล)
did ใช้ได้ทั้งประธานเอกพจน์และประธานพหูพจน์
Verb to do
ใช้กับ present Simple หรือ past Simple เมื่อเราต้องการเปลี่ยนจากประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคำถามและประโยคปฎิเสธ
Present Simple
She goes to school by bus.
She doesn't go to school by bus.
Does she go to school by bus?
Past Simple
Dum went to the post office yesterday.
Dum didn't go to the post office yesterday.
Did Dum go to the post office yesterday?
Note: เมื่อเอา Verb to do เข้ามาช่วยกริยาจะต้องเป็น V1เสมอ
Verb to have ได้แก่คำว่า has,have,had
has ใช้กับประธานเอกพจน์
have ใช้กับประธานพหูพจน์
had ใช้ได้ทั้งประธานเอกพจน์และพหูพจน์ในรูปของ past
1. เราจะใช้กับ Present Perfect Tense และ Past Perfect tense เช่น
Frank has seen the rainbow.
Frank hasn't seen the rainbow.
Has Frank seen the rainbow?
They have watched the movie.
They haven't watched the movie.
Have they watched the movie?
2. Verb to have ที่เป็นกริยาแท้แปลว่า "มี" "รับประธาน"เช่น
I have a new dress.
I have lunch early every day.
เมื่อต้องการทำเป็นประโยคปฎิเสธและคำถามให้เอา Verb to do มาช่วยเช่น
We don't have a new home.
Do we have a new home?
can could แปลว่า "สามารถ"
1.ใช้กล่าวถึงความสามารถว่าสามารถทำสิ่งนี้สิ่งนั้นได้เช่น
I can play the piano.
I can speak French.
ในรูปประโยคปฎิเสธและคำถามสามารถใช้ can ได้เลยเช่น
She can't drive.
Can you drive?
2.เราจะไม่ใชั can กับ infinitive หรือ participles แต่เมื่อจำเป็นเราจะใช้คำอื่นแทนเช่น
Are you be able to go home late?
She will be able to drive soon.
3.could เป็น past ของ can เราใช้ could สำหรับความสามารถทั่วไป หรือการอนุญาตเช่น
She could speak three languages when she was five.
He finished his home work. He could go out to play.
3. เราใช้ can และ could
3.1 กับความสามารถ (ability)
I can use a computer.
3.2 การขอหรือการให้อนุญาต
Can I use your bicycle?
You can leave early today.
แต่ถ้าเป็นแบบสุภาพหรือเป็นทางการเราจะใช้ could เช่น
Could you hand me that book,please?
3.3 การขอร้อง (requests)
Can you .... ?
could you...? สุภาพกว่า
Do you think you could...?
can you take this bag?
Could you loan a hundred baht?
Do you think you could help me move this box?
3.4 เสนอตัวเพื่อช่วยเหลือ (offers) เช่น
Can I turn the air on for you ?
3.5 พูดถึงความเป็นไปได้และคาดคะเนในสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น (possibility and probability)
ใช้ can กับสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ เช่น
This road can be dangerous at night.
may might
1.ใช้กับการพูดถึงการมีโอกาสของบางสิ่งบางทีอาจเป็นจริงหรืออาจจะเกิดขึ้นเช่น
We may take a day off next week.
He might call me tonight.
2. might ไม่ได้เป็น past ของ may เราจะใช้ might เมื่อเรามีโอกาสที่น้อยกว่า may เช่น
I may go to visit my parents in this weekend. (บางทีโอกาสจะเป็น 50%)
Jane might go with me. (บางทีโอกาสจะเป็น 30% )
3.การใช้ may/might กับ have ใช้แสดงการคาดคะเนที่อาจจะเกิดขึ้นในอดีต
may/might + have +V3
She may have gone out when I phoned her.
A: I can't find my book.
B:You might have left it at school.
4. ใช้ may might ในการขออนุญาตเช่น
May I sit here?
I wonder if I might have another cup of coffee?
5. ใช้ may ในการอนุญาตและไม่อนุญาตเช่น
Children may not play alone in the pool.
A: May I turn the TV on?
B: Yes, of course you may.
will would
will
1.ใช้เมื่อเราพูดถึงอนาคต
I will go to school early tomorrow.
2.ใช้ will แสดงการขอร้องอย่างสุภาพเช่น
Will you open the door for me please?
would เป็นอดีตของคำว่า will
1.ใช้ในประโยคขอร้องที่สุภาพกว่า will
Would you turn the volume down please?
2.ใช้กับประโยค Would you mind if....
Would you mind if I smoke?
3. ใช้ would กับคำ rather แปลว่า ควรจะ....ดีกว่า ตัวย่อ 'd rather
ใช้ในการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
I'd rather study harder this year than go to summer school.
4. ใช้ would กับ like to ในีรูปคำถามเป็นการเชื้อเชิญเช่น
Would you like to go dancing with me?
shall should
shall
1.ใช้ในประโยคอนาคตกาล (Future tense) ตามปกติแล้ว shall ใช้กับ ประธาน I และ We
2. ใช้ในการเสนอหรือให้คำแนะนำ และใช้เมื่อขอคำแนะนำเราจะใช้
Shall I...?
Shall we ...?
Shall I carry your books?
Shall we go shopping?
Should
1.ใช้เมื่อพูดเกี่ยวกับภาระหน้าที่และความคิดเห็นที่ใกล้เคียงกันเช่น
People should be careful about food.
She shouldn't act like that in public.
2. ใช้ Should I....? สำหรับการขอคำแนะนำ การยื่นมือช่วยเหลือ เช่น
Should I go out with him ?
Should I help you clean up this area?
3. ใช้เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่ควรจะทำแปลว่า"ควรจะ" เช่น
You work all day. You should take a rest.
4. ใช้ should have +V3 ใช้พูดเกี่ยวกับอดีตโครงสร้างนี้ใช้กับสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดหรือไม่ได้เกิดขึ้นเช่น
They should have arrived here by now.
I should have written a note for him
5. ใช้กับประโยค if clause เช่น
If I had a lot of money, I would be happy.
must
แปลว่า "ต้อง"ตามด้วยกริยาช่องที่ 1มีหลักการใช้ดังนี้
1. ใช้แสดงความจำเป็นที่ต้องกระทำ
You must hand your homework in tomorrow.
2. ใช้ในการให้คำแนะนำหรือการสั่งกับตัวเราเองหรือกับบุคคลอื่นเช่น
He really must stop drinking.
You must sit there for two hours.
You mustn't talk in the classroom.
3. เราใช้ have to แทน must ได้
ความแตกต่างระหว่างการใช้ must และ have to
must เป็นการสั่งความจำเป็นมาจากบุคคลที่กำลังพูดหรือกำลังฟัง
have to พูดถึงความจำเป็นที่มาจากภายนอกบางทีอาจจะเพราะว่ากฎหมาย
กฏระเบียบหรือเป็นข้อตกลงเช่น
I must go home now. It's going to rain soon.
You must stop smoking.
I have to stop smoking because I'm sick.
mustn't ใช้บอกบุคคลไม่ให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้
haven"t got to, don't have to ใช้พูดในบางสิ่งที่ไม่สำคัญเช่น
You mustn't tell Dang. มีความหมายว่า (Don't tell Dang.)
You don't have to tell your wife. หมายความว่า
(You can if you like, but it is not necessary.)
4. ใช้ must เมื่อพูดถึงสิ่งที่เราแน่ใจเช่น
The boy keeps crying. He must be really sick.
need เป็นได้ทั้งกริยาช่วยและกริยาแท้
1. เมื่อใช้เป็นกริยาแท้ need + to +V1
He needs to clean his car.
You need to water the flowers.
ถ้าต้องการทำเป็นประโยคปฎิเสธและประโยคคำถาม ให้เอา Verb to do มาช่วย
You don't need to help him.
Do we need to reserve the room?
2.เมื่อใช้เป็นกริยาช่วยเราไม่ค่อยใช้เท่าไหร่ซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นการใช้
needn't เช่น
You needn't explain. I understand.
3. การใช้ needn't + have +V3 แสดงถึงการกระทำที่ไม่จำเป็นต้องทำในอดีตแต่ทำไปแล้วเป็นการเสียเวลาเปล่า
Your mother needn't have cooked for us. We ate out.
dare แปลว่า "กล้า "เป็นได้ทั้งกริยาช่วยและกริยาแท้
1. เป็นกริยาแท้ dare + to +V1และเมื่อต้องการทำเป็นประโยคปฎิเสธ
และประโยคคำถามให้เอา Verb to do มาช่วยเช่น
She dare to say what is right.
I doesn't dare to tell him the truth.
2. เป็นกริยาช่วยเราไม่นิยมใช้เป็นประโยคบอกเล่าแต่เราจะใช้ daren't
กับคนบางคนไม่กล้าทำบางสิ่งบางอย่างในขณะที่พูด
I daren't look.
I daren't touch it.
ought แปลว่า "ควรจะ" มีหลักการใช้ดังนี้
1.ใช้ ought ตามด้วย to เสมอใช้ในการแนะนำสิ่งที่ควรทำให้กับคนอื่นรวมทั้งตัวเราเองด้วยมีความหมาย
ใกล้เคียงกับคำว่า Should เช่น
I really ought to teach her English.
People ought not to cross the road over there.
2.ใช้ ought to+ have +V3 พูดถึงสิ่งที่ควรทำในอดีตแต่ไม่ได้ทำ
You ought to have phoned him yesterday.
used to แปลว่า "เคย"
ปัจจุบันเราไม่นิยมใช้ used to ในรูปแบบของกริยาช่วยแล้ว
เราใช้เฉพาะเป็นกริยาแท้พูดถึงสิ่งที่ทำเป็นนิสัยในอดีต
ซึ่งปัจจุบันได้หยุดไปแล้วเช่น
I used to eat a lot.
She used to be shy.
เมื่อเป็นประโยคคำถามและประโยคปฎิเสธเราจะเอา Verb to do เข้ามาช่วย
เมื่อเอา Verb to do จะต้องเปลี่ยน use ให้เป็นกริยาช่องที่ 1
Did you use to have a dog?
I didn't use to watch the news. (เป็นประโยคปฎิเสธเรานิยมใช้ never used to )
I never used to watch the news.
(be) used to +noun / ing แปลว่า "เคยชิน"
I am used to driving at night.
She is used to the cold weather.