บอร์ด ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน เครื่องจักร cnc มือสองจากญี่ปุ่น

บอร์ด ซื้อ ขาย เครื่องจักร cnc มือสองจากญี่ปุ่น จากโรงงานโดยตรง => วิธีการใช้เว็บบอร์ด => ข้อความที่เริ่มโดย: admin ที่ พฤศจิกายน 08, 2013, 05:16:26 AM

หัวข้อ: Tense ทั้ง 12 ใช้อย่างไร? ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก
เริ่มหัวข้อโดย: admin ที่ พฤศจิกายน 08, 2013, 05:16:26 AM
 1. Present Simple Tense ใช้เพื่อบอกความจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน 

          โครงสร้างไวยากรณ์: S + V1

          ตัวอย่างประโยค: 

              I study at Harvard University.  ฉันเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

              The Sun rises in the east. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก

              He calls me honey. เขาเรียกฉันว่าที่รัก


2. Past Simple Tense ใช้เพื่อบอกความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต และตอนนี้ทุกอย่างก็ได้จบลงแล้ว

          โครงสร้างไวยากรณ์: S + V2 

          ตัวอย่างประโยค:

              I lived in Germany. ฉันเคยอยู่ที่ประเทศเยอรมนี

              Daddy called me last night.  พ่อโทรมาหาฉันเมื่อคืน


3. Future Simple Tense ใช้เพื่อบอกความตั้งใจ หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 

          โครงสร้างไวยากรณ์: S + will, shall + V1

          ตัวอย่างประโยค:     

              I will go to Japan next month. ฉันจะไปญี่ปุ่นเดือนหน้า

              I will send you my photo tonight. ฉันจะส่งรูปฉันให้ดูคืนนี้


4. Present Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ ณ ขณะที่พูด และใช้บอกการกระทำที่ทำอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลานี้ (ปีนี้, เดือนนี้) หรือบอกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ก็ได้

          โครงสร้างไวยากรณ์: S + is, am, are + V ing

          ตัวอย่างประโยค:     

              I am going to school. ฉันกำลังจะไปโรงเรียน

              He is walking on the street. เขากำลังเดินอยู่บนถนน

              Cherry is preparing for final exam. เชอร์รี่กำลังเตรียมตัวสอบปลายภาค


5. Past Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต หรือบอกเหตุการณ์หนึ่งในอดีตที่กำลังดำเนินอยู่ ก่อนที่อีกเหตุการณ์จะเกิดขึ้น

          โครงสร้างไวยากรณ์: S + was, were + V ing

          ตัวอย่างประโยค:

              I was working all day yesterday. ฉันยุ่งทั้งวันเลยเมื่อวานนี้

              When I opened the door, my father was watching TV. ตอนผมเปิดประตูเข้าบ้าน พ่อผมกำลังดูทีวีอยู่


6. Future Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต และใช้กับเหตุการณ์หนึ่งในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ก่อนที่อีกหนึ่งเหตุการณ์จะเกิดตามมา

          โครงสร้างไวยากรณ์: S + will be + V ing

          ตัวอย่างประโยค:

              I will be studying in tomorrow morning. พรุ่งนี้ตอนเช้า ผมคงจะกำลังเรียนอยู่

              I will be working when you finish your work. ผมคงจะกำลังทำงานอยู่ เมื่อคุณเลิกงานแล้ว


7. Present Perfect Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และจะใช้ since, for ร่วมด้วยเสมอ หรือบอกเล่าถึงสิ่งที่เพิ่งจะจบลงหมาด ๆ

          โครงสร้างไวยากรณ์: S + have,has +V3

          ตัวอย่างประโยค:     

              I have worked in Japan since 2010.  ฉันทำงานที่ญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2010

              Nancy has stayed with me for 10 months.  แนนซี่อยู่กับฉันมา 10 เดือนแล้ว

              I have already finished my homework.  ผมเพิ่งทำการบ้านเสร็จ


8. Past Perfect Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แน่ชัด หรือใช้เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต โดยจะใช้ Past Perfect Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดก่อนเสมอ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังใช้ Past Simple Tense

          โครงสร้างไวยากรณ์: S + had +V3

          ตัวอย่างประโยค:

              Two students had gone before the teacher came to the room.  นักเรียนสองคนออกไปจากห้องแล้ว ก่อนที่ครูจะเข้ามา

              Before I met her, I had met Sandy. ก่อนที่ฉันจะเจอเธอ ฉันเจอแซนดี้ 


9. Future Perfect Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่คาดว่าจะสิ้นสุดลงในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต หรือใช้กับเหตุการณ์หนึ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ก่อนที่อีกเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้นตามมา

          โครงสร้างไวยากรณ์: S + will + have + V3

          ตัวอย่างประโยค:     

              Apple will have launched its new iPhone by 2012. แอปเปิลจะเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ภายในปี 2012

              My father will have gone when I get up.  เมื่อฉันตื่น พ่อฉันก็คงไปแล้ว


10. Present Perfect Continuous Tense  ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย เรียกว่ามีหลักการใช้เหมือนกับ Present Perfect Tense เพียงแต่เน้นถึงความต่อเนื่องและเน้นว่าจะทำต่อไปเท่านั้นเอง

          โครงสร้างไวยากรณ์: S + have/has been + V ing

          ตัวอย่างประโยค:

              I have been working in Japan since 2010. ฉันทำงานที่ญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2010

              Nick have been living in London for 2 months. นิคอาศัยอยู่ในลอนดอนมาได้ 2 เดือนแล้ว


11. Past Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต และได้สิ้นสุดลงแล้ว เรียกว่ามีหลักการใช้เหมือนกับ Past Perfect Tense เพียงแต่เน้นถึงความต่อเนื่องชัดเจนขึ้น

          โครงสร้างไวยากรณ์: S + had been + V ing

          ตัวอย่างประโยค:

              I had been painting the wall before the dog scratched it.  ฉันทาสีกำแพงก่อนที่เจ้าหมาจะมาขีดข่วนมัน

              My father had been smoking for 5 years before I was born. พ่อฉันสูบบุหรี่จัดเป็นเวลา 5 ปี ก่อนที่ฉันจะเกิด


12. Future Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต และก็จะดำเนินต่อไปอีกหลังจากนั้น หรือใช้เหมือนกับ Future Perfect Tense แต่เน้นความต่อเนื่องของการกระทำหนึ่งในอนาคต

          โครงสร้างไวยากรณ์: S + will/shall + have been + V ing

          ตัวอย่างประโยค: 

              By the next year, I will have been working for 10 years. ผมจะทำงานครบ 10 ปีในปีหน้านี้

              In ten minutes I will have been waiting 1 hour for the bus.  อีก 10 นาที ผมจะรอรถเมล์ครบ 1 ชั่วโมงพอดี
หัวข้อ: กริยา 3 ช่องที่ใช้บ่อย พร้อมคำอ่าน คำแปล
เริ่มหัวข้อโดย: admin ที่ พฤศจิกายน 08, 2013, 05:40:09 AM
Irregular Verb กริยาอปกติ

ช่อง 1   ช่อง 2   ช่อง 3   แปล   
1

be = is, am, are   was, were   been   เป็น อยู่ คือ   
2

become (บิคั๊ม)   became  (บิเค๊ม)   become   กลายเป็น   
3

begin (บิกิ๊น)   began  (บิแก๊น)   begun (บิกั๊น)   เริ่มต้น   
4

bet  เบ็ท   bet เบ็ท   bet   พนัน   
5

bite ไบท   bit บิท   bitten (or bit) บิทเทิน   กัด   
6

bleed บลีด   bled  เบล็ด   bled   เลือดออก   
7

blow บโล   blew บลู   blown บโลน   พัด เป่า ตี   
8

break เบรก   broke บโรค   broken บโรคเคิน   แตก   
9

bring บริง   brought บรอท   brought   นำมา เอามา   
10

build บิลด   built  บิลท   built   สร้าง   
11

burst เบิสท   burst   burst   ระเบิด   
12

buy บาย   bought บอท   bought   ซื้อ   
13

catch แค็ทช   caught คอท   caught   จับ , ขึ้นรถ   
14

choose ชูส   chose โชส   chosen โชเซิน   เลือก   
15

come  คัม   came เคม   come   มา   
16

cost  คอสท   cost   cost   มีราคา   
17

cut   cut   cut   ตัด   
18

dig  ดิก   dug ดัก   dug   ขุด   
19

dive ไดฝ   dived (or doveโดฝ)   dived ไดฝด   ดำนํ้า   
20

do ดู   did ดิด   done ดัน   ทำ   
21

draw ดรอ   drew ดรู   drawn  ดรอน   ลาก วาด เขียน   
22

drink  ดริงค   drank ดแรงค   drunk ดรังค   ดื่ม   
23

drive ไดรฝ   drove ดโรฝ   driven ดริฝเฝิน   ขับ(รถ)   
24

eat อีท   ate เอท   eaten อีทเทิน   กิน   
25

fall ฟอล   fell เฟ็ล   fallen ฟอลเลิน   ตก หล่น   
26

feel ฟีล   felt เฟ็ลท   felt   รู้สึก   
27

fight ไฟท   fought ฟอท   fought   ต่อสู้   
28

find ไฟนด   found  เฟานดึ   found   พบ   
29

fly ฟลาย   flew ฟลู   flown ฟโลน   บิน   
30

forbid ฟอบิด   forbade ฟอเบด   forbidden ฟอบิดเดิน   ห้าม   
31

forget ฟอเก็ท   forgot ฟอก็อท   forgotten ฟอก็อทเทิน   ลืม   
32

freeze ฟรีส   froze โฟรส   frozen โฟรสเซิน   แข็งตัว หนาว   
33

get เก็ท   got ก็อท   got   เอา ได้รับ   
34

give กิฝ   gave เกฝ   given กิฝเฝิน   ให้   
35

go โก   went เว็นท   gone กอน   ไป   
36

grind กรายด   ground  กราวด   ground   บด ลับ   
37

grow กโร   grew กรู   grown กโรน   เติบโต, ปลูก   
38

hang (pictures) แฮง   hung ฮัง   hung   แขวน ห้อย   
39

hang (people) แฮง   hanged  แฮงด   hanged   แขวนคอ   
40

have แฮฝ   had แฮด   had   มี   
41

hear เฮีย   heard เฮิด   heard   ได้ยิน   
42

hide ฮายด   hid ฮิท   hidden ฮิดเดิน   ซ่อน   
43

hurt เฮิท   hurt   hurt   ทำร้าย   
44

know โน   knew นู   known โนน   รู้   
45

lay เล   laid เลด   laid   วาง ออกไข่   
46

lead ลีด   led เหล็ด   led   นำ   
47

learn เลิน   learnt เลินท   learnt   เรียนรู้   
48

leave ลีฝ   left เล็ฟท   left   ละทิ้ง, จากไป   
49

lend เล็นด   lent  เล็นท   lent   ให้ยืม   
50

lie ลาย   lay เล   lain เลน   นอน   
51

light ไลท   lit  ลิท   lit   จุดไฟ   
52

lose ลูส   lost ลอสท   lost   แพ้ ทำหาย   
53

make เมค   made เมด   made   ทำ   
54

meet มีท   met เม็ท   met   พบ   
55

mistake มิสเตค   mistook มิสตุค   mistaken มิสเตคเคิน   ทำผิด   
56

pay เพ   paid  เพด   paid   จ่าย   
57

put พุท   put   put   วาง   
58

quit ควิท   quitted ควิทเท็ด (or quit)   quit ควิท   เลิก   
59

read หรีด   read เหร็ด   read เหร็ด   อ่าน   
60

ride รายด   rode โรด   ridden ริดเดิน   ขี่   
61

ring ริง   rang แรง   rung รัง   สั่น (กระดิ่ง)   
62

rise ไรซ   rose โรส   risen ริสเซิน   ขึ้น ลุกขึ้น   
63

run รัน   ran แรน   run   วิ่ง   
64

say เซ   said เซด   said   พูด   
65

see ซี   saw ซอ   seen ซีน   เห็น   
66

seek ซีค   sought ซอท   sought   ค้นหา   
67

sell เซ็ล   sold โซลด   sold   ขาย   
68

set เซ็ท   set   set   จัด   
69

shake เชค   shook  ชุค   shaken   เขย่า สั่น   
70

shine ชายน   shone  โชน   shone   ส่องแสง   
71

shrink ชริงค   shrank  ชแรงค   shrunk ชรัง   หดลง สั้นลง   
72

sing ซิง   sang แซง   sung ซัง   ร้องเพลง   
73

sink ซิงค   sank แซงค   sunk ซังค   จม ถอยลง   
74

sit ซิท   sat แซ็ท   sat แซ็ท   นั้ง   
75

slide สไลด   slid สลิด   slid   สื่นไถล, เลื่อนไป   
76

sleep สลีพ   slept  สเล็พท   slept   นอนหลับ   
77

speak สปีค   spoke สโปค   spoken สโปเคิน   พูด   
78

spin สปิน   spun สปัน   spun   ม้วน กรอ ปั่นฝ้าย   
79

split สปลิท   split   split   แตก, แยก   
80

spring สปริง   sprang สแปรง   sprung สปรัง   โดดอย่างเร็ว, เด้ง   
81

sting สติง   stung  สตัง   stung สตัง   ต่อย, แทง   
82

stink สติงค   stank สแตงค   stunk สตังค   ส่งกลิ่นเหม็น   
83

strike สไตรค   struck สตรัค   struck   ตี, ต่อย? กระทบ   
84

string สตริง   strung สตรัง   strung   ผูกเชือก ขึงสาย   
85

swear สแว   swore สวอ   sworn สวอน   สาบาน ปฏิญาณ   
86

swell สเว็ล   swelled สเว็ลด   swollen สวอลเลิน   โตขึ้น หนาขึ้น   
87

swim สวิม   swam สแวม   swum   ว่ายนํ้า   
88

swing สวิง   swung สวัง   swung   แกว่ง, เหวี่ยง   
89

take เทค   took ทุค   taken เทคเคิน   เอา พาไป   
90

teach ทีช   taught ทอท   taught   สอน   
91

tear แท   tore ทอ   torn ทอน   ฉีก ขาด   
92

tell เท็ล   told โทลด   told   บอก   
93

think ธิง   thought  ธอท   thought   คิด   
94

throw ธโร   threw ธรู   thrown ธโรน   เหวี่ยง ขว้าง   
95

wake เวค   woke โวค   waken เวคเคิน   ตื่น, ปลุก   
96

wear แว   wore วอ   worn วอน   สวม, ใส่   
97

weave วีฝ   wove โวฝ   woven โวฝเฝิน   ทอผ้า, สาน   
98

weep วีพ   wept เว็พท   wept   ร้องไห้   
99

win วิน   won ว็อน   won   ชนะ   
100

write ไรท   wrote โรท   written ริทเทิน   เขียน   
               
               
REGULAR VERB กริยาปกติ

ช่อง 1   ช่อง 2   ช่อง 3   แปล   
1

answer   answered   answered   ตอบ (คำถาม) รับ (โทรศัพท)   
2

arrive   arrived   arrived   มาถึง ไปถึง   
3

attend อะเท็นด   attended อะเท็นเด็ด   attended   (เข้าร่วม) ประชุม   
4

beg เบก   begged เบกด   begged   ขอ   
5

call  คอล   called คอลด   called   เรียก โทรหา   
6

change เชนจึ   changed เชนจดึ   changed   เปลี่ยน   
7

clean คลีน   cleaned คลีน   cleaned    ทำความสะอาด   
8

cook คุค   cooked คุคท   cooked   ทำอาหาร   
9

cry คราย   cried ครายด   cried   ร้องไห้   
10

dance แดนซ   danced แดนซท   danced   เต้นรำ   
11

die ดาย   died ดายด   died   ตาย   
12

deliver ดิลิฝเวอะ   deliverd ดิลิฝเวิด   deliverd   ส่งถึงที่   
13

drop ดร็อพ   dropped ดร็อพท   dropped   (น้ำ) หยด   
14

end เอนด   ended เอนดิด   ended   จบ   
15

fix ฟิกซ   fixed ฟิกซท   fixed   ซ่อม   
16

hate เฮท   hated เฮททิด   hated   เกลียด   
17

help เฮ็ลพ   helped เฮ็ลพท   helped   ช่วย   
18

kiss คิส   kissed คิสท   kissed   จูบ   
19

lift ลิฟท   lifted ลิฟเท็ด   lifted   ยก   
20

listen ลิซเซิน   listened ลิซเซินด   listened ลิซเซินด   ฟัง   
21

live ลิฝ   lived ลิฝด   lived   อาศัยอยู่   
22

look ลุค   looked ลุคท   looked   มอง   
23

love เลิฝ   loved  เลิฝด   loved   รัก   
24

move มูฝ   moved มูฝด   moved มูฝด   ย้าย  ขยับ   
25

need นีด   needed นีดเด็ด   needed นีดเด็ด   ต้องการ   
26

paint เพ๊นท   painted เพ๊นทิด   painted   วาดภาพ  ระบายสี   
27

plan แพลน   planned แพลนด   planned   วางแผน   
28

play เพล   played พเลด   played   เล่น   
29

rain เรน   rained เรนด   raind   ฝนตก   
30

return   returned   returned   กลับคืน   
31

serve เสิฝ   served เสิฝ   served   เสิร์ฟ   
32

shop ช็อพ   shopped ช็อพท   shopped   จ่ายตลาด   
33

smoke สโมค   smoked สโมคท   smoked สโมคท   สูบบุหรี่   
34

sneeze สนีส   sneezed สนีสด   sneezed   จาม   
35

snow สโน   snowed สโนด   snowed   หิมะตก   
36

stay สเต   stayed สเตด   stayed   พักอาศัย   
37

stop สต็อพ   stopped สต็อพท   stopped   หยุด   
38

study สตัดดิ   studied สตัดดิด   studied   เรียน   
39

talk ทอค   talked ทอคท   talked   สนทนา   
40

travel แทรเวิล   traveled แทรเวิลด   traveled   ท่องเที่ยว   
41

visit วิสิท   visited วิสิทเท็ด   visited วิสิทเท็ด   เยี่ยม  เที่ยว   
42

wait เวท   waited เวททิด   waited   รอ
หัวข้อ: Re: Tense ทั้ง 12 ใช้อย่างไร? ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก
เริ่มหัวข้อโดย: admin ที่ พฤศจิกายน 14, 2013, 05:36:19 AM
กริยาช่วยมีด้วยกันทั้งหมด 24 ตัวดังนี้

รูปปฎิเสธ   คำย่อ
is        is not   isn't
am   am not   -
are   are not   aren't
was   was not   wasn't
were   were not   weren't
do   do not   don't
does   does not   doesn't
did   did not   didn't
has   has not   hasn't
have   have not   haven't
had   had not   hadn't
can   can not   can't
could   could not   couldn't
may   may not   mayn't
might   might not   mightn't
will   will not   won't
would   would not   wouldn't
shall   shall not   shan't
should   should not   shouldn't
must   must not   mustn't
need   need not   needn't
dare   dare not   daren't
ought   ought not   oughtn't
used to   used not to   usedn't to



verb to be ได้แก่คำว่า is, am, are, was, were แปลว่า"เป็น, อยู่, คือ"
be เป็นรูปเดิมเมื่อกระจายรูปจะได้เป็น   is,am,are เปลี่ยนเป็นช่องที่สองคือ was were และเปลี่ยนเป็นช่องที่สามคือ been
ใช้กับ Present tense (ปัจจุบันกาล)
is ใช้กับประธานเอกพจน์
am ใช้กับประธานคำว่า I
are ใช้กับประธานพหูจน์
ใช้กับ Past tense (อดีตกาล)
was ใช้กับประธานเอกพจน์
wereใช้กับประธานพหูพจน์
หน้าที่ของ verb to be
1.ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นในประโยค continuous tense และประโยค Passive voice
    They are watching tv.
     She was writing to her parents.
    A dog was killed by bad man.
2.ใช้กับประโยคที่มีคำนาม (noun) หรือคำคุณศัพท์ (adjective) ตามหลัง
   We are students.
3.ใช้กับประโยคขอร้องและคำสั่ง(ในรูปของ be) เช่น
    Be careful!
    Be gentle!

Verb to do ได้แก่คำว่า do, does, did
ใช้กับ Present tense (ปัจจุบันกาล)
does ใช้กับประธานเอกพจน์
do   ใช้กับประธานพหูพจน์
ใช้กับ Past tense (อดีตกาล)
did ใช้ได้ทั้งประธานเอกพจน์และประธานพหูพจน์
Verb to do
ใช้กับ present Simple หรือ past Simple เมื่อเราต้องการเปลี่ยนจากประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคำถามและประโยคปฎิเสธ
Present Simple
She goes to school by bus.
She doesn't go to school by bus.
Does she go to school by bus?

Past Simple
Dum went to the post office yesterday.
Dum didn't go to the post office yesterday.
Did Dum go  to the post office yesterday?
Note: เมื่อเอา Verb to do เข้ามาช่วยกริยาจะต้องเป็น V1เสมอ

Verb to have ได้แก่คำว่า has,have,had
has ใช้กับประธานเอกพจน์
have ใช้กับประธานพหูพจน์
had ใช้ได้ทั้งประธานเอกพจน์และพหูพจน์ในรูปของ past
1. เราจะใช้กับ Present Perfect Tense และ Past Perfect tense เช่น
Frank has seen the rainbow.
Frank hasn't seen the rainbow.
Has Frank  seen the rainbow?

They have watched the movie.
They haven't watched the movie.
Have they watched the movie?

2. Verb to have ที่เป็นกริยาแท้แปลว่า "มี"   "รับประธาน"เช่น
I have a new dress.
I have lunch early every day.
เมื่อต้องการทำเป็นประโยคปฎิเสธและคำถามให้เอา Verb to do มาช่วยเช่น
We don't have a new home.
Do we have a new home?

can  could  แปลว่า "สามารถ"
1.ใช้กล่าวถึงความสามารถว่าสามารถทำสิ่งนี้สิ่งนั้นได้เช่น
I can play the piano.
I can speak French.
ในรูปประโยคปฎิเสธและคำถามสามารถใช้ can ได้เลยเช่น
She can't drive.
Can you drive?

2.เราจะไม่ใชั can กับ infinitive หรือ participles แต่เมื่อจำเป็นเราจะใช้คำอื่นแทนเช่น
Are you be able to go home late?
She will be able to drive soon.
3.could เป็น past ของ can เราใช้ could สำหรับความสามารถทั่วไป หรือการอนุญาตเช่น
She could speak three languages when she was five.
He finished his home work. He could go out to play.

3. เราใช้ can และ could

3.1 กับความสามารถ (ability)
I can use a computer.
3.2 การขอหรือการให้อนุญาต
Can I use your bicycle?
You can leave early today.
แต่ถ้าเป็นแบบสุภาพหรือเป็นทางการเราจะใช้ could เช่น
Could you hand me that book,please?
3.3 การขอร้อง (requests)
Can you .... ?
could you...? สุภาพกว่า
Do you think you could...?
can you take this bag?
Could you loan a hundred baht?
Do you think you could help me move this box?
3.4 เสนอตัวเพื่อช่วยเหลือ (offers) เช่น
Can I turn the air on for you ?
3.5 พูดถึงความเป็นไปได้และคาดคะเนในสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น (possibility and probability)
ใช้ can กับสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ เช่น
This road can be dangerous at night.

may  might
1.ใช้กับการพูดถึงการมีโอกาสของบางสิ่งบางทีอาจเป็นจริงหรืออาจจะเกิดขึ้นเช่น

We may take a day off  next week.
He might call me tonight.
2. might ไม่ได้เป็น past ของ may เราจะใช้ might เมื่อเรามีโอกาสที่น้อยกว่า may เช่น
I may go to visit my parents in this weekend. (บางทีโอกาสจะเป็น 50%)
Jane might go with me. (บางทีโอกาสจะเป็น 30% )

3.การใช้ may/might กับ have ใช้แสดงการคาดคะเนที่อาจจะเกิดขึ้นในอดีต
    may/might + have +V3
She may have gone out when I phoned her.
A: I can't find my book.
B:You might have left it at school.
4. ใช้ may might ในการขออนุญาตเช่น
May I sit here?
I wonder if I might have another cup of coffee?
5.  ใช้ may   ในการอนุญาตและไม่อนุญาตเช่น
Children may not play alone in the pool.
A: May I turn the TV on?
B: Yes, of course you may.

will  would
will
1.ใช้เมื่อเราพูดถึงอนาคต
I will go to school early tomorrow.
2.ใช้ will   แสดงการขอร้องอย่างสุภาพเช่น
Will you open the door for me please?
would เป็นอดีตของคำว่า will
1.ใช้ในประโยคขอร้องที่สุภาพกว่า will
Would you turn the volume down please?

2.ใช้กับประโยค Would you mind if....
Would you mind if I smoke?
3. ใช้ would กับคำ rather แปลว่า ควรจะ....ดีกว่า ตัวย่อ 'd rather
ใช้ในการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
I'd rather study harder this year than go to summer school.
4. ใช้ would กับ like to ในีรูปคำถามเป็นการเชื้อเชิญเช่น
Would you like to go dancing with me?

shall  should
shall
1.ใช้ในประโยคอนาคตกาล (Future tense) ตามปกติแล้ว shall ใช้กับ ประธาน I และ We

2. ใช้ในการเสนอหรือให้คำแนะนำ และใช้เมื่อขอคำแนะนำเราจะใช้
Shall I...?
Shall we ...?
Shall I carry your books?
Shall we go shopping?
Should
1.ใช้เมื่อพูดเกี่ยวกับภาระหน้าที่และความคิดเห็นที่ใกล้เคียงกันเช่น
People should be careful about food.
She shouldn't act like that in public.
2. ใช้ Should I....? สำหรับการขอคำแนะนำ การยื่นมือช่วยเหลือ เช่น
Should I go out with him ?
Should I help you clean up this area?
3. ใช้เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่ควรจะทำแปลว่า"ควรจะ" เช่น
You work all day. You should take a rest.
4. ใช้ should have +V3   ใช้พูดเกี่ยวกับอดีตโครงสร้างนี้ใช้กับสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดหรือไม่ได้เกิดขึ้นเช่น
They should have arrived here by now.
I should have written a note for him
5. ใช้กับประโยค if clause เช่น
If I had a lot of money, I would be happy.

must
แปลว่า "ต้อง"ตามด้วยกริยาช่องที่ 1มีหลักการใช้ดังนี้
1. ใช้แสดงความจำเป็นที่ต้องกระทำ
You must hand your homework in tomorrow.
2. ใช้ในการให้คำแนะนำหรือการสั่งกับตัวเราเองหรือกับบุคคลอื่นเช่น
He really must stop drinking.
You must sit there for two hours.
You mustn't talk in the classroom.
3. เราใช้ have to แทน must ได้
ความแตกต่างระหว่างการใช้ must และ have to
must   เป็นการสั่งความจำเป็นมาจากบุคคลที่กำลังพูดหรือกำลังฟัง
have to พูดถึงความจำเป็นที่มาจากภายนอกบางทีอาจจะเพราะว่ากฎหมาย
กฏระเบียบหรือเป็นข้อตกลงเช่น
I must go home now. It's going to rain soon.
You must stop smoking.
I have to stop smoking because I'm sick.
mustn't ใช้บอกบุคคลไม่ให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้
haven"t got to, don't have to ใช้พูดในบางสิ่งที่ไม่สำคัญเช่น
You mustn't tell Dang. มีความหมายว่า (Don't tell Dang.)
You don't have to tell your wife. หมายความว่า
(You can if you like, but it is not necessary.)
4. ใช้ must เมื่อพูดถึงสิ่งที่เราแน่ใจเช่น
The boy keeps crying. He must be really sick.

need   เป็นได้ทั้งกริยาช่วยและกริยาแท้
1. เมื่อใช้เป็นกริยาแท้ need + to +V1
He needs to clean his car.
You need to water the flowers.
ถ้าต้องการทำเป็นประโยคปฎิเสธและประโยคคำถาม ให้เอา Verb to do มาช่วย
You don't need to help him.
Do we need to reserve the room?
2.เมื่อใช้เป็นกริยาช่วยเราไม่ค่อยใช้เท่าไหร่ซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นการใช้
needn't เช่น
You needn't explain. I understand.
3. การใช้ needn't + have +V3 แสดงถึงการกระทำที่ไม่จำเป็นต้องทำในอดีตแต่ทำไปแล้วเป็นการเสียเวลาเปล่า
Your mother needn't have cooked for us. We ate out.

dare แปลว่า "กล้า "เป็นได้ทั้งกริยาช่วยและกริยาแท้
1. เป็นกริยาแท้ dare + to +V1และเมื่อต้องการทำเป็นประโยคปฎิเสธ
และประโยคคำถามให้เอา Verb to do มาช่วยเช่น
She dare to say what is right.
I doesn't dare to tell him the truth.
2. เป็นกริยาช่วยเราไม่นิยมใช้เป็นประโยคบอกเล่าแต่เราจะใช้ daren't
กับคนบางคนไม่กล้าทำบางสิ่งบางอย่างในขณะที่พูด
I daren't look.
I daren't touch it.

ought แปลว่า "ควรจะ" มีหลักการใช้ดังนี้
1.ใช้ ought ตามด้วย to เสมอใช้ในการแนะนำสิ่งที่ควรทำให้กับคนอื่นรวมทั้งตัวเราเองด้วยมีความหมาย
ใกล้เคียงกับคำว่า Should เช่น
I really ought to teach her English.
People ought not to cross the road over there.
2.ใช้ ought to+ have +V3 พูดถึงสิ่งที่ควรทำในอดีตแต่ไม่ได้ทำ
You ought to have phoned him yesterday.

used to แปลว่า "เคย"
ปัจจุบันเราไม่นิยมใช้ used to ในรูปแบบของกริยาช่วยแล้ว
เราใช้เฉพาะเป็นกริยาแท้พูดถึงสิ่งที่ทำเป็นนิสัยในอดีต
ซึ่งปัจจุบันได้หยุดไปแล้วเช่น
I used to eat a lot.
She used to be shy.
เมื่อเป็นประโยคคำถามและประโยคปฎิเสธเราจะเอา Verb to do เข้ามาช่วย
เมื่อเอา Verb to do จะต้องเปลี่ยน use ให้เป็นกริยาช่องที่ 1
Did you use to have a dog?
I didn't use to watch the news. (เป็นประโยคปฎิเสธเรานิยมใช้ never used to )
I never used to watch the news.

(be) used to +noun / ing แปลว่า "เคยชิน"
I am used to driving at night.
She is used to the cold weather.